โรคงูสวัดเกิดจาก เชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลา (varicella virus) เป็นเชื้อตัวเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ จากการหายใจ
หรือการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง ผู้ที่เคยเป็นโรคสุกใส เมื่อหายจากโรคนี้ เชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่ในปมกระสาทใต้ผิวหนัง ใช้เวลาหลายปีจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆเกิดขึ้น
เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ได้รับยาที่กดภูมิต้านทาน เชื้อที่แฝงตัวอยู่ก็จะเพิ่มขึ้น และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ และเกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทและปล่อยเชื้อไวรัสออกมาสู่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวตามเส้นประสาท
คล้ายกับงู จึงเรียกโรคนี้ว่างูสวัด
อาการของโรคงูสวัด
- อาการเริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิดหนัง 2–3 วัน
- มีผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ปวด แล้วจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส
- มีอาการไข้หนาวสั่น
- ผื่นจะขึ้นเรียงกันเป็นแถวตามแนวเส้นประสาท และแตกออกเป็นแผล เมื่อตกสะเก็ดก็จะหายได้เองใน 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ในผู้สูงอายุ
- อาการปวดตามแนวเส้นประสาท แม้ว่าหายแล้วก็ตาม
- หู ตา สมอง และปอดอักเสบ จะพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
การรักษาและแนวทางการปฏิบัติของผู้ป่วยโรคงูสวัด
- ผู้ป่วยโรคงูสวัดจะรักษาตามอาการ ทานยาแก้ปวดลดไข้ เพราะว่าโรคนี้สามารถหายได้เอง
- สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะให้ทานยาต้านไวรัส จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนได้
- การทำแผล จะประคบแผลด้วยน้ำเกลือ ครั้งละ 10 นาที วันละ 3-4 ครั้ง
- ปากเปื่อยลิ้นเปี่อยให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก
- ไม่แกะ ไม่เกาแผล ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
- อาบน้ำให้ร่างกายสะอาด
- หากมีอาการปวด ให้ทานยาพาราแก้ปวด หรือใช้ยาตามแพทย์สั่ง
งูสวัดพันตัวแล้วตายหรือไม่
ความเชื่อตั้งแต่อดีตว่าหากเป็นงูสวัด เมื่อผื่นขึ้นรอบเอว นั้นจะทำให้เสียชีวิตทันที เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแนวเส้นประสาทของคนจะสิ้นสุดที่กลางลำตัว
ดังนั้นผู้ป่วยโรคงูสวัดจะเป็นผื่นได้แค่ครึ่งหนึ่งของลำตัวเท่านั้น สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง ต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว
เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรง ผื่นอาจเกิดขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกัน จึงทำให้ดูเหมือนงูสวัดพันรอบตัว การแพร่กระจายของผื่นอาจลุกลามไปยังอวัยวะภายในของร่างกาย
เช่น สมอง ปอดหรือตับ อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้